
ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นระคนชุ่มชื้นด้วยสายฝน ... จากเมืองเชียงใหม่ได้มีโอกาสไปเยือนเมืองแพร่ในวันหยุดยาวเทศกาลเข้าพรรษา
เราไม่พลาดที่จะนำจักรยานติดรถไปด้วย แม้จะเสียดายนิดๆ ที่อุตส่าห์ซ้อมปั่นจากเชียงใหม่ไปถึงศาลเจ้าพ่อขุนตาลอยู่หลายครา
เกือบไหลลงมาเมืองลำปางเพื่อปั่นไปเมืองแพร่ อยู่หลายสักครั้ง แต่ด้วยเหตุที่ว่าฟ้าฝนช่วงนี้รุนแรง
แถมเส้นทางจากลำปางมาแพร่ ถนนคดเคี้ยว แถมช่วงลำปางไปสี่แยกแม่แขม ไม่มีทางวิ่งให้จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เลย
ทางลง 1 เลน ทางขึ้น 2 เลน วิ่งสวนกัน ชิดขอบขาวเส้นถนน
หลังขอบขาวคืบเดียวก็เป็นคันกั้นถนน ร่องน้ำ หรือเหวลึก โครงการนี้จึงลดระดับลงแค่
ขับรถยนต์ขนจักรยานไปตั้งหลักที่อำเภอวังชิ้นก่อนนั่นเอง
หลังจากมาถึงอำเภอวังชิ้นแล้ว ก่อนออกเดินทางจาก หมู่บ้านป่าม่วง
ตำบลแม่พุง อำเภอวังชิ้น เราอาศัยแผนที่จากกูเกิ้ล เพื่อเดินทางไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดแพร่
นั่นคือม่อนเสาหินพิศวง ซึ่งใครได้ขับรถผ่านไปมา บริเวณอำเภอวังชิ้น
จะเห็นป้ายโฆษณาแหล่งท่องเที่ยวใหม่นี้ทุกระยะ โดยหากมาจากจังหวัดลำปาง
จะเห็นป้ายนี้ตั้งแต่ 4 แยกแม่แขม สี่แยกหลักที่จะเลี้ยวซ้ายไปอำเภอลอง
ตรงไปอำเภอเด่นชัย และเลี้ยวขวาไปอำเภอวังชิ้น โดยม่อนเสาหินพิศวง
ชื่อใหม่ได้ที่รับนี้ มาจากชื่อเดิมที่ชาวบ้านเรียกขานกันมานานว่า “ม่อนหินกอง”
ตั้งอยู่ บ้านนาปลากั้ง ตำบลนาพูน อำเภอวังชิ้น ห่างจากตัวที่ว่าการอำเภอวังชิ้น
ประมาณ 40 กิโลเมตร
หากจะเดินทางด้วยรถยนต์จากตัวอำเภอวังชิ้นไปยัง “ม่อนหินกอง”
จะใช้เส้นทางหลวงชนบท สาย 1125 ตรงไปยังอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
แต่ด้วยการเดินทางโดยจักรยานในครั้งนี้ เราได้ทำการบ้านมาก่อน คือค้นหาจากกูเกิ้ล
แม้จะหาคำว่าม่อนเสาหินพิศวงไม่เจอ แต่จากวัดป่าม่วง ไปยังสถานีตำรวจภูธรนาพูน
ก็หาได้ไม่ยาก เพราะม่อนหินกองนี้ ต้องเข้าซอยบ้านนาปลากั้ง
ซึ่งมีสถานีตำรวจภูธรนาพูนตั้งอยู่เลยทางแยกไปประมาณ 200 เมตร ถ้าหาสถานีตำรวจเจอ
ก็หาม่อนเสาหินเจอ หาดูแต่ป้ายก็ได้ เพราะสถานีตำรวจทุกแห่งทั่วประเทศไทยในสังกัดไทยเข้มแข็ง
ยังคงสร้างไม่เสร็จ และคาดว่าคงอีกนานกว่าจะสร้างเสร็จ
ชาววังชิ้นตื่นแต่เช้าตรู่ก่อนไก่โห่ เสียงเซ็งแซ่ตะโกนไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบเกิดขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง
ผู้คนตื่นหุงหาอาหารเพื่อเตรียมไปถอนกล้าดำนาแต่เช้า หลังอาหารมื้อแรกของวัน นักปั่นสมัครเล่นก็เผ่นหนีไม่ยอมไปทำนา
พาจักรยานคู่ชีพ ปั่นออกจากบ้านป่าม่วง ย้อนกลับไปทางบ้านปางไฮ เลี้ยวขวาไปบ้านปางมะโอ
ทะลุออกบ้านวังแฟน ซึ่งจุดนี้เองจะมีสะพานข้ามแม่น้ำยม เรียกกันว่าสะพานบ้านวังแฟน
เลี้ยวขวาเชื่อมเข้าสู่ถนนหลักสาย 1125 ที่จะเลียบแม่น้ำยม
ตรงไปยังอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งถ้าเดินทางโดยรถยนต์จากตัวอำเภอ
ก็จะใช้ทางสายนี้เป็นทางสายหลักที่จะเดินทางไปชม “ม่อนหินกอง”
ปั่นไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางเลียบน้ำยม ตลอดทางแทบไม่มีรถวิ่งไปมาให้เสียวสันหลัง
จอดถ่ายรูปกลางถนนก็ยังได้ เพราะหากมีรถมาก็จะได้ยินเสียงรถมาแต่ไกล ... ตลอดสองข้างทางก็ประดับไปดาไปด้วยทิวเขา
แมกไม้ สายน้ำ สลับเป็นระยะด้วยเรือกสวนไร่นา ชาวบ้านแถบนี้นิยมปลูกไร่ส้ม ข้าวโพด
มันสำปะหลัง รวมทั้งไม้สักในป่าชุมชน ตลอดเส้นทางเป็นเนินเล็กบ้างใหญ่บ้าง
สลับกันไปมา พอได้เปลี่ยนเกียร์บ้าง ... จวบจนปั่นมาได้ประมาณ 30 กิโลเมตร
จะเห็นป้ายบอกทางไปอำเภอศรีสัชนาลัยอีก 47 กิโลเมตร แสดงว่าเกือบถึงทางแยกเข้าม่อนเสาหินพิศวงแล้ว
โดยทิศทางที่เราจะตรงไปยังอำเภอศรีสัชนาลัย ให้สังเกตด้านซ้าย
ส่วนท่านที่มาจากทางสุโขทัยก็ให้สังเกตด้านขวา จะมีสามแยกใหญ่ มีป้ายบอกทางไป “บ้านนาปลากั้ง”
แต่ขอแนะนำว่าให้สังเกตป้ายสถานีตำรวจภูธรนาพูน กับโรงเรียนบ้านนาปลากั้ง
จะง่ายกว่า
จากสามแยกนี้เลี้ยวขวาตรงไปเรื่อยๆ ผ่านสถานีตำรวจภูธรนาพูน
โรงเรียนบ้านนาปลากั้ง ทางเริ่มชันขึ้นเป็นระยะ ปั่นไปสักพักจะเจอชุมชนเล็กๆ
มีทางแยกด้านขวา จะมีป้าย ระบุทางไปม่อนเสาหินพิศวง 3 ป้ายด้วยกัน ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า
สามแยกที่ผ่านมา เป็นแยกใหญ่จากถนนเส้นหลัก เหตุใดไม่มีป้ายบอกทาง
จนต้องสังเกตสถานีตำรวจกับโรงเรียน น่าจะแบ่งป้ายจากตรงนี้ไปติดทางแยกใหญ่บ้าง
หรือไปเลาะเอาจากป้ายข้างทางถนนลอง-วังชิ้น มาบ้างก็ได้ ติดอยู่ทุกระยะ
แต่ปากทางเข้าจากถนนใหญ่จริงๆ มีเพียงป้ายสถานีตำรวจกับโรงเรียน
ป้ายบอกทางระบุ 4.5 กม. จะถึงม่อนเสาหินพิศวง เราปั่นผ่านหมู่บ้านเล็กๆ
แต่น่ารัก ผู้คนผ่านไปมาก็อัธยาศัยดีมาก ยิ้มแย้มทักทายผู้มาเยือนเหมือนญาติมิตร
น่าประทับใจยิ่งนัก ตรงไปเรื่อยๆ จนผ่านหมู่บ้าน ถนนเดิมของหมู่บ้าน เป็นทางลาดยางธรรมดา
พอพ้นเขตหมู่บ้านไป ขอเดาว่าเคยเป็นเส้นทางที่ชาวไร่ชาวนา ใช้เดินทางไปทำไร่ทำนา
หรือหาของป่า หากแต่วันนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองแพร่
เส้นทางนี้เลยถูกเนรมิตขึ้นใหม่เอี่ยม เลี้ยวลัดเลาะไปตามไร่นาของชาวบ้าน คดโค้งงดงามอย่างลงตัวกับทิวทัศน์สองข้างทาง
ที่เป็นทุ่งนาป่าเขา เทือกเขาน้อยใหญ่สลับไปมาเป็นฉากหลัง
เสมือนประหนึ่งกำลังปั่นจักรยานอยู่ในฉากภาพยนตร์ต่างประเทศ


จากลานจอดรถด้านบน ซึ่งเป็นประตูทางออก ดูทางแล้วสามารถพอจูงรถจักรยานเข้าไปเยี่ยมชมความมหัศจรรย์ของเสาหินพิศวงได้
จึงค่อยๆ ลากๆ จูงๆ ยกๆ พากันเข้าไปจนได้ แต่ก็ได้ชื่นชมได้เพียง 2 ม่อนเท่านั้น เห็นเค้าว่ามี
7 – 8 ม่อน ไม่มั่นใจ จำชื่อม่อนแรกๆ ตรงทางเข้าจากด้านหลังไม่ได้ แต่ม่อนที่สามชอบมาก
ชื่อม่อนเจ้าแสนจู๊ ... กะจะเดินพาจักรยานย้อนกลับไปทางบันไดด้านหน้า
หวังจะได้ชื่นชมม่อนเสาหินตระหง่านเหมือนในรูปถ่าย ... ทว่าฟ้าฝนเริ่มไม่เป็นใจ
เสียงเม็ดฝนกระทบใบสัก ดังเร้าใจ บรรยากาศก็มืดๆ เงียบๆ อยู่คนเดียวกลางป่ากลางดอย
ระคนนึกถึงทางขาลงที่เป็นลูกรัง หากเปียกฝนเป็นโคลน จักรยานคงมีอาจต้านทานได้
จึงตัดสินใจรีบกลับลงมายังเส้นทางเดิมอย่างน่าเสียดาย
น่าเจ็บใจที่พอลงมาถึงด้านล่าง ตรงทางเข้าที่มีบันใดทางขึ้น ฝนก็หยุด
นึกจะปั่นขึ้นไปอีกรอบก็คงจะไม่ไหว เพราะสูงชันเหลือเกิน เที่ยวหน้าถ้ามากันหลายคน
หรือเอารถยนต์มา จะขอเดินขึ้นไปดูเสาหินตระหง่านเหมือนในรูปโฆษณาบ้าง
แต่คราวนี้ยอมแพ้ ดูไมล์รถปั่นมา 45 กิโลเมตร ปั่นกลับทางเดิม ถึงบ้านก็ 90
กิโลเมตร ตัดสินใจกลับไปตั้งหลักใหม่ ใครอยากดูรูปสวยๆ
ก็แนะนำให้เข้าไปหาในกูเกิ้ล พิมพ์คำว่า “ม่อนหินกอง” ภาพสวยๆ จากกล้องดีๆ
มีให้ชมเยอะแยะ แต่ก่อนจากกันไปก็ไม่ลืมแวะศึกษาข้อมูลของม่อนเสาหิน มาฝากกัน
ข้อมูลทางธรณีวิทยา ได้อธิบายว่า บริเวณบ้านนาปลากั้ง ตำบลนาพูน
อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ เมื่อประมาณ 5 – 6 ล้านปีก่อนมีลักษณะเป็นภูเขาไฟ ซึ่งมีการปะทุของภูเขาไฟ
พาเอาหินหนืดจากใต้เปลือกโลกไหลปะทุขึ้นมาเป็นลาวา ซึ่งเป็นลาวาของหินบะซอลต์ เจิ่งนอกปกคลุมทั่ว แล้วก็เกิดการเย็นตัวอย่างรวดเร็ว
ซึ่งการเย็นตัวอย่างรวดเร็วของลาวาเหล่านั้นนั่นเองทำให้เกิดการหดตัวของส่วนล่าง
ส่งผลให้หินลาวาบะซอลต์ที่อยู่ด้านบน เกิดแรงดึงออกในทุกทิศทางเป็นรอยแตกร้าวรูปแบบต่างๆ คล้ายกับทุ่งนาที่แห้งแล้ง เมื่อยามฤดูแล้ง
เราก็จะเห็นรอยแตกแยกของผิวดินด้านบนลึกลงไป
หากแต่ว่านี่ไม่ใช่โคลนดิน แต่เป็นหินลาวาบะซอลต์
ที่พวยพุ่งขึ้นมาปริมาณมหาศาล การดึงตัวของหินบะซอลต์ ในขณะที่เย็นตัวส่วนบน ได้ทิ้งรอยแตกที่ตั้งฉากกับผืนโลก
เป็นร่องลึก แตกออกจากกันอย่างเป็นระเบียบ จึงได้ลักษณะการแตกเป็นเหลี่ยมๆ หลายๆ
เหลี่ยม และตั้งทรงตัวตั้งอยู่ เพราะเมื่อเย็นตัว
หินบะซอลต์ก็คือหินที่มีความแข็งแกร่ง ตราบจนเมื่อเวลาผ่านไปหลายล้านปี ส่วนไหนเจอภัยธรรมชาติ
แผ่นดินไหว ไฟป่าก็มีล้มกลิ้งบ้าง กระจัดกระจาย เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนที่แข็งแรงตั้งตระหง่านเป็นเสาหินสูงๆ
ก็ยังคงตั้งอยู่ให้มวลมนุษยชาติที่เกิดขึ้นตามมาทีหลัง มานั่งวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่มาของเสาหินพิศวงนี้

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น