เส้นทางคล้ายวงแหวน จาก อ.หางดง อ้อมรอบดอยสุเทพรอบใหญ่ๆ
จะมีทางแยกขวาไป อ.สะเมิง ถ้าตรงไปก็อ้อมไป อ.แม่ริม ..
เส้นทางนี้คือเส้นทางหลักที่สำคัญแห่งหนึ่งสำหรับการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดระยะทางก็จะมีทิวทัศน์สวยงาม
มีสถานที่ที่จัดทำขึ้นเพื่อนักท่องเที่ยวมากมาย ตั้งอยู่ทุกระยะตลอดระยะทางกว่า 100
กม. ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ธรรมชาติ ภูเขา น้ำตก จุดชมวิว รีสอร์ท โรงแรม จุดบริการของเล่นแปลกใหม่
สำหรับนักท่องเที่ยว ฯลฯ มากมายจนเกินจะอธิบาย
และที่เป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่งก็เห็นจะเป็นไร่สตรอเบอรี่ ที่มีเป็นระยะตลอดรายทาง
งานนี้ลงทางลูกรังมาถึง ต.บ้านปง เลี้ยวขวาขึ้นดอย ตรงไปทาง อ.สะเมิง
หลงระเริงไปกับสถานที่เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวไปตลอดรายทาง ตั้งแต่หรูระดับ 5
ดาว บ้างก็ออกแนวบ้านๆ กางเต็นท์ นอนห้าง (ภาษาไทยน่าจะประมาณเถียงนา) ริมลำธาร
ก่อกองไฟ ร้องเพลง เล่นกีตาร์ ฯลฯ น่าอิจฉานัก ... ปั่นจนเริ่มเหนื่อย
แวะมาพักหน้ากฤษดาดอยรีสอร์ท รีสอร์ทเก่าแก่ของเมืองเชียงใหม่
แวะรำลึกถึงความทรงจำเก่าๆ เล็กน้อย ... พร้อมมุ่งมั่นไปต่อ เพราะภารกิจของเราวันนี้
ขอได้เห็นไร่สตรอเบอรี่สักไร่นึง จึงมุ่งมั่นปั่นขึ้นไปเรื่อยๆ
จากจุดที่พบกัน คุณลุงบอกว่าขึ้นไปอีก 6 กม. ก็จะเจอเส้นทางพับ
คือถนนพับไปมาลงเขา 7 พับด้วยกัน ซึ่งก็ทราบกันดีว่าหากจะปั่นรถจักรยานให้รอบ
หางดง สะเมิง แม่ริม ก็ต้องเริ่มจากทางหางดงก่อน เพราะทางพับจะเป็นทางลง ... แต่ที่คุณลุงปั่นมาจากในเมือง
ถึงทาง 7 พับ แล้วย้อนกลับขึ้นมาทางที่เรามา คือทางหางดงได้
ก็เชื่อแล้วว่าคุณลุงไปหลวงพะบางมาแล้วสามรอบจริง ... หลังจากพูดคุยกันพอสมควร พาจักรยานคู่ชีพตะลุยต่อไปได้ประมาณ
3 กม. พบสวนสตรอเบอรี่แห่งแรก ชื่อสวนสตรอเบอรี่ 4 พี่น้อง อยู่ตรงกันข้าม The
Doi Resort
แวะมาพักหลบฝนหน้า The Doi Resort สักพัก
เห็นท่าไม่ค่อยดี ฟ้าแลบฟ้าร้อง ยังไงวันนี้ต้องได้ลุยฝนกลับแน่ ดูมิเตอร์แล้วอยู่ห่างบ้านมาแค่
25 กม. ตัดสินใจไหลลงดอยกลับไปท่ามกลางสายฝนปรอยๆ รักษาความเร็วไม่ให้เกิน 60 กม.
เพราะฝนตก ถนนลื่น ... จนเลยกฤษดาดอยรีสอร์ทไปได้ไม่ไกล จากฝนปรอยๆ
ก็กลายเป็นฝนหนักถึงหนักมาก .. แวะพักศาลาข้างทาง เพื่อตรวจตราสัมภาระ
ทั้งกล้องและมือถือ ว่าอยู่ในห่อพลาสติกอย่างดี ไฟหน้าไฟหลังรถใช้ได้
เพราะเริ่มมืดมองไม่เห็นทาง แล้วก็ตัดสินใจปั่นรวดเดียวให้ถึงบ้าน
อะดรีนาลีนอัดฉีดเต็มที่
ทั้งฝนทั้งคนปั่นจักรยานต่างไม่ยอมแพ้ อัดมาได้ประมาณ 10 กม.
คราวนี้เสียงเม็ดฝนและน้ำหนักที่หล่นลงบนหมวกกันน็อค เริ่มเปลี่ยนไป เสียงคล้ายๆ
ใครโยนก้อนหินลงมา อาจเพราะปั่นจักรยานมายาว เลยไม่ค่อยรู้สึกหนาวท่ามกลางลมฝนเย็นๆ
แต่ก้อนแข็งๆ ที่หล่นมาโดนหมวกกันน็อคและสองแขน ย่อมไม่ใช่เม็ดฝนเป็นแน่
ตัดสินใจจอดแวะข้างทาง ทั้งที่อีกแค่ 1 – 2 กม.
ก็น่าจะถึงทางแยกใหญ่ถนนคันคลองชลประทาน แต่ก้อนขาวๆ ที่ร่วงอยู่เต็มถนน
จะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากลูกเห็บ ที่แต่ละลูกโตเกินกว่าหัวแม่มือ
แอบกระโดดไปเก็บมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกได้นิดนึง ... กลัวหัวแตก
ราวครึ่งชั่วโมง พายุก็ผ่านพ้นไป เหลือแค่สายฝนปรอยๆ ค่อยๆ ปั่นกลับบ้านในสภาพเหนือคำบรรยาย
... งานนี้ปั่นไปถึงสวนสตรอเบอรี่ ไปกลับกว่า
50 กม. แต่ไม่มีสตรอเบอรี่มาฝากลูกๆ สักตะกร้า ... พอลูกสาวถามหา ก็บอกพ่อไปไม่ทัน
แถมเจอพายุลูกเห็บ พ่อเก็บกินเสร็จก็ถ่ายรูปมาให้ดูด้วย .. ลูกสาวคนโตถามว่า
ทำไมพ่อไม่เก็บลูกเห็บมาให้หนูกินมั่ง? ... ตอบไปตามตรง มันคือก้อนน้ำแข็งก้อนเล็กๆ พ่อเก็บใส่กระเป๋ามา
มันก็ละลายหมดแล้วสิ ... ลูกสาวคนเล็กยิ่งถามเด็ด ... ทำไมพ่อไม่เก็บเอามาปั้นเป็น
snowman ลูกโตๆ ล่ะ มันจะได้ไม่ละลาย? ... เช้าวันนี้ได้สตรอเบอรี่จากคุณย่ามา 1 เข่ง
กินให้หายอยากเลยนะลูกๆ ตลาดก็มีขายเยอะแยะ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น