(ปักกิ่ง 2) (ปักกิ่ง 3) (ปักกิ่ง 4)
“ปล่อยให้ยักษ์หลับใหล วันใดที่ยักษ์ตื่น ผืนแผ่นดินจะสะเทือนไหว ยักษ์ใหญ่จะเขย่าโลก” คำกล่าวของนโปเลียน โบนาปาร์ต พญาอินทรีย์แห่งยุโรป ได้ทำนายทายทักประเทศจีนเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 จากนั้นยักษ์ใหญ่ก็ได้ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมองโลกกว้างเมื่อ 40 ปีก่อน จากนโยบายเปิดประเทศของท่านเติ้งเสี่ยวผิง แม้เวลาของโลกจะหลั่งไหลไปดั่งสายน้ำเชี่ยวกราก ก็ไม่อาจต้านทานลำนาวาของจีน ที่ขับเคลื่อนทวนน้ำไปอย่างเต็มกำลังได้ ประเทศใดพายจ้ำอยู่กับที่ ก็เท่ากับล่องลอยถอยหลังไป จนจีนแซงหน้าได้ทุกป้าย กลายเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างเต็มภาคภูมิ
จีนคือประเทศมหาอำนาจของโลก และกรุงปักกิ่งคือเมืองหลวงของจีน ทันทีที่สายการบินโลว์คอสเจ้าประจำ เปิดบินตรงเชียงใหม่-ปักกิ่ง เราจึงรีบชิงคว้าโอกาสนั้นไว้ จองเที่ยวบินส่งท้ายปี ไปปีหมา กลับมาปีหมู ร่วมฉลองปีใหม่ 2562 ณ กำแพงหมื่นลี้ แม้จะมีประสบการณ์ไปเยือนจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อ 8 ปีก่อนที่เดินหิ้วเบียร์หลงทางกลางดึกเมืองเซินเจิ้นกับเพื่อนๆ มาแล้ว แต่ก็ยังไม่วายตื่นเต้นกับการยื่นขอวีซ่า โดยเฉพาะรูปถ่าย ได้ข่าวว่ามีการเปลี่ยนระเบียบอย่างละเอียดยิบ จำได้ว่าครั้งก่อน สวมเสื้อเชิ้ตให้เพื่อนถ่ายรูปหน้าตรง ฉากหลังผนังห้องครัวที่บ้าน ปรินท์ผ่านเครื่องอิงค์เจ็ต ก็ผ่านฉลุย แต่คราวนี้ท่าทางจะไม่ได้
ต้นเดือนธันวาคม 2018 หลังจากไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน ก็แวะไปเอาเอกสารคำร้องขอวีซ่าที่กงสุลจีนเชียงใหม่ อยู่ตรงคูเมือง ระหว่างประตูเชียงใหม่ไปสวนบวกหาด กงสุลเปิด 9 โมง แต่เราขอรับเอกสารที่ต้องกรอกไปก่อน 4 ชุด มีบอร์ดแนะนำเรื่องการถ่ายภาพเพื่อขอวีซ่า อ่านดูแล้วรายละเอียดค่อนข้างเยอะ เสื้อสี ฉากขาว ใบหน้า ศีรษะ คางฯลฯ กว้างคูณยาวเป็นมิลลิเมตร ดังนั้นขากลับรับลูกเสร็จ ใส่ชุดกีฬาพอดี เสื้อสี คอปก แวะถ่ายเลยที่ร้าน Analog ก่อนถึงตลาดประตูเชียงใหม่ บอกเค้าว่าถ่ายไปขอวีซ่าจีน เค้าจัดให้หมดแบบมืออาชีพ คนละ 100 บาทจบข่าว ลองเอาไม้บรรทัดมาวัดก็เป๊ะตามที่ระเบียบกำหนด มั่นใจผ่านแน่นอน
เตรียมหลักฐาน สำเนาบัตร สำเนาทะเบียนบ้าน พาสปอร์ต ตัวจริงและสำเนา ตั๋วเครื่องบิน ใบจองที่พัก รูปถ่ายคนละ 2 ใบ กรอกเอกสารให้เรียบร้อยด้วยภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ ขับรถไปจอดที่สยามทีวี ใกล้ๆ กงสุลจีน ขอแนะนำว่ากระเป๋าสัมภาระอะไรที่ไม่เกี่ยวกับการขอวีซ่า ให้ทิ้งไว้ในรถ เพราะพอผ่านการตรวจอาวุธเข้าไปในป้อมยามแล้ว พี่ยามเค้าจะอนุญาตให้เข้าไปแค่เอกสารฯ กระเป๋าตังค์ กับมือถือเท่านั้น ที่เหลือต้องทิ้งไว้ที่ป้อมยาม วางสุมๆ รวมๆ กับของคนอื่นบนโต๊ะพี่ยาม เสร็จแล้วก็เดินตัวเบาไปห้องขอวีซ่า กดบัตรคิวนั่งรอ พอถึงคิวก็ยื่นเอกสาร ถ้าไม่ผ่านเจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ไปแก้ไขให้เรียบร้อย แล้วกดคิวนั่งรอใหม่
เอกสารครบ รูปถ่ายผ่าน แต่ดันพลาดเรื่องการกรอกเอกสาร ช่องที่พักที่เมืองจีน ดันว่างไว้กะจะรอถามว่าพักที่เดียว 5 คืน ต้องเขียนยังไง เฉพาะชื่อโรงแรมหรือใส่ที่อยู่ด้วย แต่สถานการณ์ในห้องขอวีซ่าไม่เอื้ออำนวยให้ถามมากมาย เจ้าหน้าที่ชี้ให้กรอกให้เต็มทุกช่อง แล้วเรียกคิวใหม่มารอกดดัน ไหนๆ ก็ได้กดคิวรอใหม่ เลยจัดเต็ม 5 ช่อง ชื่อที่อยู่โรงแรมไปจนถึงรหัสไปรษณีย์ 4 คน 20 บรรทัด เวลายื่นขอวีซ่าเปิดถึง 11.30 ถ้าโดนไล่ไปกดคิวใหม่อีกรอบท่าจะไม่ทัน ในที่สุดก็ผ่าน ได้ใบนัดสีชมพูให้มารับพาสปอร์ตสัปดาห์ถัดไป ก่อนกลับออกมา พี่ยามย้ำว่าประตูเปิดให้รับพาสปอร์ตคืนบ่าย 3 – 4 โมง ประตูเปิดตามเวลา ไม่ต้องรีบมาก่อน
ถึงวันมารับพาสปอร์ตก็ไปกดบัตรคิว จ่ายค่าวีซ่าคนละ 1000 บาทไทย ได้สติ๊กเกอร์วีซ่าติดหน้าพาสปอร์ตมายืนยันการันตีว่า ได้ไปเยือนจีนแผ่นดินใหญ่แน่นอน ก่อนกลับไป ไหนๆ ก็ใช้บริการที่จอดรถเชียงใหม่สยามทีวี ทุกครั้งที่มาติดต่อกงสุลจีน ดังนั้นเข้าไปอุดหนุนร้านค้าเค้าบ้างก็ดี ไปต่างประเทศทั้งที ขาดโลกโซเชียลไปได้อย่างไร แวะซื้อเลย Sim 2Fly ซิมโรมมิ่งจากค่าย AIS เอาไปใช้เน็ตที่เมืองจีน ราคา 399 บาท 4 GB ใช้งานได้ 8 วัน ทั้ง เฟสบุ๊ค ไลน์ แผนที่ เกมส์ออนไลน์ เล่นกันสบายใจทั้งกรุงปักกิ่ง ตั้งแต่เทียนอันเหมินยันกำแพงเมืองจีน เน็ตแรงลื่นปรึ๊ดๆ ไม่ต้องกลัวโดนบล็อกโซเชียลจากรัฐบาลจีน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น