2563-06-16

สมัยละอ่อนลักไปแอ่วแจ่งขะต๊ำ ม่วนล้ำผ่อเขาโดดน้ำแจ่งกู่เฮือง (คูเมือง 4)

(คูเมือง 1) (คูเมือง 2) (คูเมือง 3) (คูเมือง 5)  (คูเมือง 6)

จากแจ่งข้างบน ไหลรถถีบลงแจ่งข้างล่างกันบ้าง แจ่งกะต๊ำ หรือขะต๊ำ บางทีเรียกโค้งคนชรา หรือพาณิชย์น้ำคือฯ ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ โดยชื่อหมายถึงเครื่องมือดักจับสัตว์น้ำชนิดหนึ่ง เนื่องจากแจ่งนี้มีระดับลุ่มต่ำ น้ำจากคูเมืองทุกด้านจะไหลรวมสู่คูเมืองด้านนี้ ทำให้มีปลาอุดมสมบูรณ์ สมัยวัยละอ่อน ปิดเทอมหน้าร้อน หนุ่มๆ ในหมู่บ้านแถวๆ สี่แยกสนามบิน จะชวนกันปั่นรถถีบมาเล่นน้ำที่แจ่งกะต๊ำ เพราะน้ำลึก ตีลังกาจากกำแพงป้อมลงมาได้เลย รวมทั้งใกล้ๆ แจ่งจะมีต้นจามจุรีใหญ่ ให้ปีนป่ายขึ้นไปโยนตัวลงมา บางปีก็มีชิงช้ายางรถ มามัดแขวน ให้ห้อยโหน ออกแบบท่าทีลีลาการเล่นน้ำได้สนุกยิ่งกว่าสวนน้ำใดๆ ในโลกจะเนรมิตได้

จากโค้งคนชรา ถัดไปอีกแจ่งที่ได้รับความนิยมในการเล่นน้ำฤดูร้อนเหมือนกันคือแจ่งกู่เฮือง ตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง แจ่งกู่เรือง ออกเสียงเป็นคำเมืองได้ว่า แจ่งกู่เฮือง เป็นที่ตั้งของกู่ ที่บรรจุอัฐิ หรือกระดูกของ “หมื่นเรือง”  หรืออ้ายเฮือง เจ้าหน้าที่ผู้ดูแล “ขุนเครือ” ซึ่งเป็นลูกของพญามังราย ที่ถูกจองจำไว้ในเรือนขังด้วยอาญากบฏ ขุนเครือเป็นใครทำไมกบฏ เรื่องมันยาวเริ่มจาก เมื่อพระญามังรายสวรรคต พระญาไชยสงคราม ผู้เป็นบุตรได้ยกเมืองเชียงใหม่ให้ลูกชายคนโตคือเจ้าแสนภู ปกครองเมืองเชียงใหม่ เจ้าขุนเครือเป็นน้องของพระญาไชยสงคราม พอทราบเรื่องว่าพ่อตาย แล้วพี่ชายยกเมืองเชียงใหม่ให้หลานปกครอง ก็ไม่พอใจ เลยยกทัพมาชิงเมืองเชียงใหม่

เจ้าแสนภูรู้ว่าอาของตน จะมาชิงเมือง ก็ไม่อยากมีเรื่อง หนีกลับไปหาพ่อที่เชียงราย พอพระญาไชยสงครามรู้เรื่องเข้าก็โกรธ สั่งให้เจ้าท้าวน้ำท่วม ลูกชายคนกลางที่ครองเมืองฝาง ยกทัพไปตีเอาเชียงใหม่คืน และจับตัวเจ้าขุนเครือเอาไว้ได้ ด้วยความเป็นพี่น้องกัน ไม่อยากลงอาญาฆ่าฟัน พระญาไชยสงครามจึงนำเจ้าขุนเครือไปคุมขังไว้ในเรือนขังที่บ้านของหมื่นเรือง อยู่แถวๆ แจ่งนี้ พร้อมมอบหมายให้หมื่นเรืองควบคุมดูแล ไม่ให้หลบหนีไปได้ แล้วยกให้เจ้าแสนภูขึ้นครองเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง ต่อมาหมื่นเรืองเสียชีวิตลง พญาแสนภูจึงได้โปรดให้บรรจุอัฐิของหมื่นเรืองไว้ที่แจ่งนี้ ในสมัยก่อน ผู้มีเชื้อสายท้าวพระญา จึงไม่นิยมตั้งบ้านเรือนบริเวณนี้ เพราะเคยใช้เป็นที่คุมขังมาก่อน

ปัจจุบันแจ่งกู่เฮือง มีการบูรณะให้มีช่องวางปืน และใบเสมาที่สมบูรณ์แบบสวยงาม ช่องระหว่างใบเสมานี้เอง คือช่องกระโดดน้ำของวัยรุ่นยุคก่อน สมัยเป็นเด็กน้อยยังไม่มีกฎห้ามปีนขึ้นกำแพง ใครกล้าโดดจากช่องวางปืนลงคูเมืองได้จะดูเท่ห์มาก แต่ผู้ใหญ่ไม่ค่อยปลื้มเท่าไร ทั้งอันตรายและอยู่ใกล้สวนสาธารณะสวนบวกหาด ศูนย์รวมแว๊นบอย สก๊อยเกิร์ลในยุคก่อน จัดเป็นที่อโคจรสำหรับละอ่อนน้อย ไปสนามเด็กเล่นในสวนบวกหาดต้องมีผู้ใหญ่ไปด้วย ตอนเป็นเด็กเลยได้แต่นั่งดูเค้าโดดน้ำกัน แอบเอาขาจุ่มๆ แกล้งลื่นตกริมตลิ่งให้ค่อยๆ เปียกทีละน้อย ประมาณว่าไหนๆ ก็เปียกแล้วขอเล่นเลยละกันนะ

หลังจากพระเจ้ากาวิละ ได้ทำการบูรณะแจ่งเมืองทั้ง 4 แล้วเสร็จ เชียงใหม่ก็ไม่ได้รบทัพจับศึกกับใคร มีการบูรณะกำแพงเมืองอีกทีในปี รัชสมัยเจ้าหลวงธรรมลังกา พ.ศ. 2361 ต่อจากนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นซากปรักหักพัง เรื่อยมาจนถึงรัชสมัยของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ พ.ศ.2413-2440 เชียงใหม่ได้สวามิภักดิ์กับแผ่นดินสยาม ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช มีการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล สยามได้ก่อตั้งมณฑลลาวเฉียงขึ้น ในปี พ.ศ. 2437 ความศิวิไลซ์เริ่มหลั่งไหลเข้ามาสู่เมืองเชียงใหม่ แล้วคูเมืองเปลี่ยนมาเป็นดังเช่นปัจจุบันได้อย่างไร ขอได้โปรดติดตามชมในตอนต่อไป

(คูเมือง 1) (คูเมือง 2) (คูเมือง 3) (คูเมือง 5)  (คูเมือง 6)

ไม่มีความคิดเห็น: