2562-07-24

ตามไปส่องโฮมออฟฟิศฮ่องเต้ ในวังต้องห้าม "จื่อจิ้นเฉิง” (ปักกิ่ง 5)


(ปักกิ่ง 2) (ปักกิ่ง 3) (ปักกิ่ง 4) (ปักกิ่ง 6) (ปักกิ่ง 7) (ปักกิ่ง 8)
เดินอ้อมมาตามกำแพงวังสักพักก็ถึงลานข้างหน้าประตูวัง หากมาจากด้านประตูเทียนอันเหมิน ก็จะมาเจอกันตรงลานกว้างนี้ เพื่อเข้าประตูใหญ่ด้านทิศใต้ เรียกว่าประตูเมอริเดียน ภาษาจีนเรียกประตูอู่เหมิน เห็นนักท่องเที่ยวข้างหน้าโชว์พาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่แล้วก็ผ่านเข้าไปในวังได้เลย คิดว่าเค้าให้เข้าฟรี ที่ไหนได้สแกนพาสปอร์ตไม่ผ่าน โดนไล่ให้ไปจ่ายตังค์ก่อน ซุ้มจ่ายค่าผ่านประตูอยู่ด้านข้าง ผู้ใหญ่ 40 หยวน เด็กครึ่งราคา 20 หยวน รวม 4 คน 120 หยวน จ่ายเงินพร้อมยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ แล้วใช้พาสปอร์ตเป็นตั๋วเข้าชมวัง กลับไปยื่นพาสปอร์ตให้สแกน รอบนี้ผ่าน เข้าวังได้

พระราชวังต้องห้าม "กู้กง" หรืออีกชื่อ "จื่อจิ้นเฉิง" เป็นคล้ายๆ Home Office ของจักรพรรดิ 24 พระองค์ของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง เพราะเป็นทั้งออฟฟิศที่ว่าราชการ ศูนย์กลางอำนาจสูงสุดของจีนในช่วงกว่า 5 ศตวรรษ ส่วนของที่อยู่อาศัย ก็มีทั้งพระราชวังชั้นนอก และพระราชวังชั้นใน มีห้องต่างๆ กว่า 9,000 ห้อง เฉพาะที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ทั้งห้องบรรทม ห้องอาบน้ำ ห้องหอรอรัก ห้องนางสนมกำนัล ฯลฯ ว่ากันเป็นแค่เพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ก็ไม่แปลกใจที่เปิดให้ชมแค่บางส่วน เพราะเดินชมวังไปกี่ชั้นๆ ก็คล้ายจะไม่หมดสักที พื้นที่ 720,000 ตารางเมตร ถ้าจะเดินชมให้ทั่ว คงต้องใช้เวลาหลายเดือน

ไฮไลต์ที่คนกรุ้มรุมแทบจะขี่คอกันถ่ายรูป ก็เห็นจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของกษัตริย์ ประมาณว่าอยากรู้อยากเห็น ว่ากษัตริย์แต่ละองค์ตั้งแต่ราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง เค้ากินอยู่หลับนอนกันยังไง ถ้าเป็นยุคโบราณ ตายแล้วเกิดใหม่กี่ชาติ ก็ไม่มีวันได้เข้ามาเห็น ความยิ่งใหญ่งดงามและความต้องห้ามของพระราชวังแห่งนี้ ดังคำที่ว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิต หากเทพยดาฟ้าดินไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ก็ยากจะสำเร็จ คนจีนสร้างได้ทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะสร้างได้ ดังนั้นถ้าจะมียิ่งใหญ่กว่าฟ้าดินได้ ก็เห็นจะเป็นพรรคคอมมิวนิสต์จีนนี่แหละ ที่เปลี่ยนพระราชวังต้องห้าม ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เข้ามาชื่นชมกัน

วังโน้นก็สวย วังนี้ก็ถ่ายรูป ข้ามจากวังหนึ่งไปอีกวังหนึ่ง ขึ้นบันได ลงบันได ประหนึ่งจะไม่มีวันจบสิ้น เด็กน้อยเริ่มหน้างอขอนั่งพักเหนื่อยเป็นช่วงๆ เหลือบมองนาฬิกา 4 โมงกว่า พระราชวังต้องห้าม ปิดเวลา 5 โมงตรง เจ้าหน้าที่เดินไล่หลังมารอปิดประตูวังเรื่อยๆ เพื่อทยอยเคลียร์พื้นที่ไม่ให้นักท่องเที่ยวตกค้างหรือเดินกลับไปทางเดิม ทุกคนจะต้องออกทางประตูวังด้านทิศเหนือ เอาเป็นว่าเดินจากวังสู่วังไปเรื่อยๆ จนเจอบริเวณที่มีลักษณะเป็นสวนหย่อม สวนหิน มีต้นไม้ใบหญ้า มีรูปปั้นประดับตกแต่ง คล้ายสวนหย่อมเมื่อไร แสดงว่าใกล้ถึงประตูทางออก หรือประตู Shunzhenmen แล้ว

ประตูทางออกวังด้านทิศเหนือ ผู้คนคับคั่งเบียดเสียด คลื่นนักเที่ยวจากพระราชวังต้องห้าม หลั่งไหลไปปะทะ นักเที่ยวที่ลงมาจากสวนจิ่งซาน ดอยเล็กๆ ที่มองเห็นจากเนินซุ้มประตูของเกือบทุกวัง ดอยนี้สร้างขึ้นด้วยดินที่ขุดจากคลองรอบๆ พระราชวังต้องห้าม ว่ากันว่าจากยอดดอยนี้จะมองเห็นวิวเมืองปักกิ่ง รวมทั้งเห็นพระราชวังต้องห้ามด้วย ถนนที่กั้นกลางที่เที่ยวสองแห่งนี้ นอกจากเป็นศูนย์รวมป้ายรถเมล์แล้วยังมีซุ้มขายอาหาร บริการให้นักเที่ยวที่หิวโซ หนาวๆ อย่างนี้ ขายดีเหมือนแจกฟรี ไส้กรอกไม้ละ 5 หยวน ข้าวโพดฝักละ 5 หยวน จัดมาให้เด็กน้อยค่อยหายหน้างอ มีแรงเดินกลับโรงแรม

มาจากทิศตะวันออก ก็ต้องเดินกลับทางทิศตะวันออก ช่วงที่เป็นแจ่งคูเมืองด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนห้อมล้อม นึกว่ามีเทศกาลขายของลดราคา ปรากฏว่าไม่ใช่ เค้าตั้งกล้องรอถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินกัน ท้องฟ้าฤดูเหมันต์สีส้มอมแสด ยิ่งพลบค่ำยิ่งสีออกช้ำเลือดช้ำหนอง ตัดเส้นขอบฟ้าหลังคาวังต้องห้าม สวยงามคนโสดห้ามดู เผลอแป๊บเดียวตะวันก็ตกดิน ถ้าเดินเลียบคูเมืองไปเรื่อยๆ ก็จะไปเจอทางที่เดินมาเมื่อเที่ยง เลยเปิด GPS หาทางเดินลัดจากถนน Beichizi ตัดไปทางทิศตะวันออก เข้าตรอกเล็กๆ ไปทะลุถนน Beiheyan เพื่อกลับโรงแรมเทียนอันเรกา

ไม่มีความคิดเห็น: