... ไปพบบทความ ทั้งหมด 17 ตอนในพันทิป กระทู้คุณเจ็ดกระบี่เทวดา .. อ่านแล้วชอบมาก คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆท่าน ขออนุญาตนำมาแชร์ต่อครับ ...
ที่มา : ThaiDayTrade , credit : boardthai.net/jadetjomjone
ล่าสุด เราถอดเทปแนวคิดจาก Mr. Followbuy เซียนหุ้นเล่นรอบแห่ง followbuy.com ในโจทย์ที่เราถามว่า “ลงทุนอย่างไร ให้มีชัยในทุกสนาม” มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สดๆร้อนๆ ไปฟังกันครับ
“แนวคิดของผมก็ไม่ได้แตกต่างไปจากผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน ท่านอื่นๆหรอกครับ เพียงแต่ว่า การคัดกรองและเลือกหุ้นของผม อาจจะแตกต่างจากท่านอื่นๆไปบ้างเท่านั้นเองครับ แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจครับ”
“เริ่มแรกเลย ผมจะยังไม่ได้ดูจากเทคนิค ไม่ได้ดูกราฟนะครับ ผมเริ่มต้นจากการอ่าน การอ่าน จะทำให้เรามีข้อมูลของหุ้นตัวนั้นๆ ที่ค่อนข้างแน่น แล้วถ้าในอนาคต เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็ตาม จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์และเข้าใจ ผลกระทบของเหตุการณ์นั้นๆ ที่มีต่อหุ้นของเราได้อย่างรวดเร็วทำให้ไม่เสียโอกาสในการเข้าซื้อขายครับ”
“หลังจากนั้น เราก็ต้องมองหาจุด หรือว่า “Investment Theme” ของหุ้นตัวนั้น ว่าเราจะเล่นเรื่องไหน เพราะอะไร ทำไมต้องเรื่องนี้ มันส่งผลบวกหรือลบขนาดไหนต่อราคาหุ้นในอนาคต จากนั้นถึงจะมาเข้าสู่ขั้นตอนของการใช้เทคนิค เข้ามาช่วยคัดกรองเป็นด่านสุดท้ายครับ
“อย่างในปีนี้ ก็จะมีหุ้นอยู่ 2 ตัวที่ทำกำไรให้กับก๊วนของเราได้ค่อนข้างสูง ก็คือทาง BANPU กับ ATC ครับ ทั้งคู่ผมเล่นในแนวโน้มของราคาผลิตภัณฑ์ของเค้า ที่ตอนนั้นมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้น ตามความต้องการในตลาดโลกที่สูงขึ้น และบทวิเคราะห์ของต่างชาติหลายๆที่ ก็ชื่นชอบทั้ง 2 ตัวนี้ด้วย ทำให้ค่อนข้างมั่นใจมากขึ้น เพราะจะได้อาศัยเงินของต่างชาติพาไปด้วย จากนั้นค่อยเข้าไปซื้อหุ้น โดยทาง BANPU นี้เริ่มซื้อตั้งแต่ 170 บาทกว่าๆครับ ส่วน ATCประมาณ 43-44 บาท สรุปแล้วก็คือว่า ผมจะใช้ปัจจัยพื้นฐานในการเลือกหุ้นก่อน จากนั้นค่อยนำเอาเทคนิคเข้ามาหาจังหวะและระดับราคาในการเข้าซื้อขายครับ”
“สำหรับนักลงทุนที่มาเล่นแบบไม่มีทุนหนุนหลัง ตั้งใจว่าจะมาหาเอาดาบหน้าอย่างเดียวเล็งแต่จะเล่นพวกหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กๆ ลุ้นเอาว่าจะมีใครมาผลักมาดันให้ราคามันสูงขึ้นรึเปล่า ราวกับเล่นการพนันไม่มีผิด ขอบอกเลยว่ายากครับ ที่จะได้เงินกลับบ้าน
“ยิ่งในช่วงที่เป็นภาวะกระทิงจัดๆแบบปีนี้ด้วยแล้ว คุณคิดว่านักลงทุนรายใหญ่เค้าอยากจะเล่นอะไรมากกว่ากันครับ ระหว่างซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่พื้นฐานดีและเป็นที่ชื่นชอบของต่างชาติในจำนวนเงิน 200-300 ล้านบาท มองกำไรไว้ที่ระดับ 30-40% กับ การเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับการเล่นหุ้นที่ Market Caps ไม่กี่ร้อยล้านบาท ซึ่งตนเองแทบจะสามารถ ดันให้ราคาหุ้นขึ้นไปได้ อย่างไม่ลืมหูลืมตาเลยล่ะ +300% 400%ง่ายๆเลยนะ ซึ่งขั้นตอนนี้ยังต้องระวัง การเข้าจับกุมของเจ้าพนักงานแห่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยนะครับ แต่ว่าจังหวะจะขายหุ้นออกจริงๆ กลับขายไม่ได้ ไม่มีใครมารับช่วงต่อ ก็จะได้ไปแต่ Unrealized Gain พร้อมๆกับเงินที่ต้องค้างอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่หาข่าวดีๆอะไรมาสนับสนุน ก็คงจะขายออกได้ยาก”
“เจออย่างนี้พวกนักลงทุนรายใหญ่ๆ เค้าก็หันไปเล่นตัวใหญ่ๆกันหมด ขอฝากตัวฝากใจ ไปกับเงินฝรั่งก่อนดีกว่า สบายใจแล้วก็ปลอดภัยกว่าด้วย ในจุดนี้ผมก็อยากจะชี้ให้ท่านนักลงทุนมองถึงการเลือกประเภทของหุ้นด้วยเหมือนกันครับ อย่ามัวแต่จะเล่นแต่หุ้นเก็งอย่างเดียว ถ้าภาวะกระทิงแบบนี้เลือกหุ้นตามฝรั่งกันบ้างเถอะครับ”
“เล่นไปตามกระแสเคลื่อนไหวไปตามตลาด ดีกว่า”
“ยิ่งสมัยนี้มี TFEX มาให้เล่นด้วยแล้ว ทำให้การเล่นและการเคลื่อนไหวสามารถทำได้สะดวกขึ้นทั้งในรอบของการขึ้นและลง”
“ส่วนในเรื่องของการ cut loss แล้วก็ follow buy นั้น ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่นักลงทุนทุกท่านควรจะต้องทำให้เคยชินเป็นนิสัย ในจุดนี้ก็คงจะเหมือนๆกับท่านอื่นๆที่มอง2 สิ่งนี้ว่า เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ”
“ผมจะลองเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆก็แล้วกัน นักลงทุนเปรียบเสมือนอัศวินในสนามรบ cut loss เปรียบเสมือนโล่ ซึ่งจะคอยช่วยป้องกันอัศวินนักลงทุน เมื่อเลือกหุ้นหรือจังหวะเข้าตลาดผิด การ cut loss จะทำให้ความสูญเสียมีอยู่ในวงจำกัด คือว่าจะเกิดขึ้นเพียงแค่ 3-5% ไม่ลุกลามไปมากกว่านี้ ซึ่งถ้าเราไม่ใช้โล่ ให้เป็น ในยามที่เลือกหุ้นหรือจังหวะไม่ดี ก็จะทำให้เกิด อาการบาดเจ็บได้ค่อนข้างหนัก ส่วนการ follow buy มันก็เปรียบเสมือนดาบซึ่งคอยเอาไว้ฟัน(กำไร) ในยามที่หุ้นสามารถทะลุ ผ่านจุดสำคัญใดๆไปได้ อย่างเช่น new highหรือว่า all time highอย่าไปมองว่าสูงหรือว่าดอย ลองดูเทคนิคประกอบกันไป ถ้ามันโอเค ก็ follow buyไปเถอะครับ”
“ดูมาแล้วมากกว่า 50%ของการใช้กลยุทธ์ follow buy ไม่ขาดทุนครับ เหตุผลง่ายๆก็คือหลังจากที่หุ้นผ่านจุดสำคัญซึ่งมีแรงขายหนักๆ (แนวต้าน) มาได้แล้ว จะทำให้หุ้นตัวนั้นเผชิญกับแรงขายที่น้อยลงไปมาก และ ในทางกลับกันในแง่ของ demand จะยิ่งมีมากขึ้นด้วย เพราะว่าแรงซื้อเข้ามาสนับสนุนหนาแน่นขึ้น ทั้งจากคนที่ต้อง cover position ที่ขายออกไป เพราะมองว่าจะไม่ผ่านแนวต้านนี้ และก็คนที่มาใช้กลยุทธ์ follow buy เพราะมองจิตวิทยาการลงทุนได้ทะลุปรุโปร่งเข้ามาสนับสนุนอีกแรงหนึ่งด้วยครับ”
“อีกส่วนนึง ที่คอยมาบั่นทอนผลตอบแทนของนักลงทุนหลายๆท่าน ตรงส่วนนี้ ผมมองเห็นคำว่า “ราคา” กับ คำว่า “กำไร-ขาดทุน” ครับ โดยทั้ง 2 ตัวเป็นภัยที่ใกล้ตัวเรามากเหลือเกิน ทำไมผมถึงมองอย่างนั้นล่ะครับ
““ราคา”หมายถึงว่าการที่นักลงทุนมัวแต่ไปห่วงเรื่องราคาหรือต้นทุนหุ้นของเก่าที่เคยถืออยู่ ซึ่งเป็นอดีตและมันก็แก้ไขไม่ได้แล้วด้วย ลืมมองไปที่แนวโน้มต่อไปว่าอนาคตหุ้นน่าจะเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างไร ตรงส่วนนี้ก็จะทำให้ ถูกภาพหลอนของราคา หรือ ต้นทุนมาคอยบดบังโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีๆได้นะครับ อีก 1ตัวอันตราย “กำไร-ขาดทุน” หมายถึงว่ามัวแต่ห่วงว่า ณ ตอนนี้เรายังขาดทุนอยู่นะ ยังไม่ขายดีกว่า ยังกำไรน้อยอยู่นะ ไม่ขายดีกว่า”
“ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว เราไม่ควรจะไปใส่ใจราคามันหรอกนะครับ ไม่ต้องมองว่าขาดทุนกี่บาทแล้ว หรือว่า ตอนนี้ยังกำไรนิดเดียวเอง ไม่ว่าท่านจะซื้อมาเท่าไหร่ ตอนไหนเวลาใด ให้ยึดหลักง่ายๆเอาไว้ครับว่า “มองว่าขึ้นก็ซื้อ มองว่าลงก็ขาย” เท่านั้นพอ ไม่ต้องไปคิดถึง “ราคา” กับ คำว่า “กำไร-ขาดทุน” ครับ เพราะ มันจะทำให้ท่านนักลงทุนเสียโอกาสที่ดีๆไปได้ครับ”
แจ่มครับ วาทะของนักลงทุนมือโปรรุ่นเยาว์ ทั้งสองท่าน
ส่วน ”ป๋าบุญ” ได้เทปคำสัมภาษณ์มาช้ากว่าเพื่อนเลย (ขอแซวหน่อย) เพราะ ปัจจุบันนี้ ป๋ามีภารกิจเพิ่มขึ้นในฐานะ พ่อลูกอ่อน ที่ต้องวุ่นอยู่กับการจับปูใส่กระด้ง
ถ้าจะว่าไป ถือว่า “ป๋าบุญ” มีใจรักและอยู่ในตลาดมาเป็นระเวลายาวนาน รู้เห็นอะไรมามากพอสมควร ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฝน นับตั้งแต่สมัยมาเป็นนักเรียนฝึกงาน ทำหน้าที่ วิ่งใบออร์เดอร์ซื้อขาย สมัยที่ตลาดหุ้นไทยยังใช้การเคาะกระดานกันอยู่ ก่อนที่จะมาเป็นเทรดเดอร์จัดการคำสั่งซื้อขายให้กับกองทุนข้ามชาติยักษ์ใหญ่สัญชาติยุโรปเป็นเวลากว่า 5 ปี ปัจจุบัน นอกจากจะเป็นพี่ใหญ่ให้กับมือใหม่แล้ว ยังเป็นพ่อลูกอ่อน อารมณ์ดีอีกด้วย
เนื่องจาก “ป๋าบุญ” เป็นพี่เลี้ยงให้กับกลุ่มเรา สมัยยังใหม่ต่อตลาดหุ้น ผมเลยคิดว่า ป๋าเหมาะมากที่จะมาตอบโจทย์ที่ว่า “เริ่มต้นอย่างไร สำหรับมือใหม่ ไร้ประสบการณ์” ก็ขอยกพื้นที่ จากนี้ไปให้กับ “ป๋าบุญ” เลยแล้วกันครับ
“รู้สึกหรือไม่ว่านักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักจะขาดทุนหุ้น ขาดทุนมากหรือน้อยต่างกันไป บางคนขาดทุนน้อยก็ยังพออยู่ได้ แต่ Port ก็จะค่อยๆ เล็กลง หรือใครที่มีสายป่านเข้ามาเพิ่มได้ก็ยังอยู่ได้ บ้างก็ขาดทุนจนต้องออกจากตลาดหุ้นเลิกเล่นไปเลยถาวรก็มี”
“เท่าที่ผมเห็น ที่ส่วนใหญ่ขาดทุนก็เพราะว่า “เสียมากกว่าได้””
“คืออย่างนี้ครับ เพราะรายย่อยจำนวนมาก มักจะคอยหาว่าใครเชียร์ตัวไหน รายใหญ่จะเล่นตัวไหน แล้วก็เล่นตามกันไป วันไหนโชคดีซื้อถูกตัวก็ได้กำไร 2-3 ช่วงราคา แต่ถ้าเมื่อไหร่ซื้อผิดตัวหรือจังหวะหุ้นตกทีไร เป็นขาดทุนหนักทุกที มักจะออกไม่ทัน ตัดสินใจ Cut Loss ช้า บางตัวขาดทุนมากกว่า 10% ขึ้นไป ติดอยู่ใน Port ขาดทุนบักโกรกก็มี”
“คิดดูครับ ถ้าเล่นหุ้นถูกตัวได้มา 10 ครั้ง ใน Port อาจกำไรประมาณ 20% แต่ถ้าซื้อผิด ไปเข้าตัวที่ไม่เล่นหรือตัวที่เขาเลิกเล่นกันแล้ว ก็ติดหุ้น ขาดทุนหุ้นเพียง 2-3 ครั้ง ที่เล่นได้มา 10 ครั้งอาจจะกลับมาเป็นขาดทุนในทันที”
“เราลองมาสำรวจตัวเองดูว่าเราเหมาะจะเป็นนักลงทุนแบบไหน ผมขอจำแนกประเภทของรายย่อยมาสัก 3 ประเภทดังนี้
1. เก็งกำไรระยะสั้นอย่างเดียวแล้วแต่ดวง มักจะลงทุนระยะสั้นแบบ Net settlement หรือถือก็ไม่เกิน 2-3 วัน
นักลงทุนประเภทนี้ ไม่ต้องหาข้อมูลอะไรมากครับ เข้ามาก็ดู Bid-Offer เห็นตัวไหนมีแรงซื้อเข้ามา ก็หาจังหวะเข้าซื้อ ดวงดีก็ขายได้กำไร ดวงซวยก็ขาดทุน
นักลงทุนแบบนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เพราะกว่าเราจะเห็น ว่าตัวไหนจะเล่น ราคาก็ขึ้นมามาก ระดับหนึ่งแล้ว ได้ก็ไม่มาก แต่ถ้าวันไหนรายใหญ่เขาทิ้งละก็ ขายกันไม่ทันขาดทุนกันหนักทีเดียว
ถ้าคิดว่าเราจะเป็นนักลงทุนแบบเก็งกำไรระยะสั้นละก็ กลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญแบบนี้คือ ถ้าเราคิดว่าถ้ากำไร 2-3% ก็จะขายทำกำไร ดังนั้นถ้าเราคาดการณ์ผิดหุ้นไม่ได้ขึ้นอย่างที่คิด เราก็ต้องตัดขาดทุนอย่างให้ขาดทุนเกิน 2-3% ด้วยเช่นกัน
ถ้าช่วงไหนเล่นแล้วกำไรเรื่อยๆ ก็เล่นไปเถอะครับ แต่ถ้าเริ่มไม่ค่อยถูกจังหวะเริ่มขาดทุนบ่อย ต้องหยุดเล่นก่อน แสดงว่าเราจับจังหวะได้ไม่ดี
2. เล่นตามกราฟ ก็คือการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้ามาหาจังหวะในการซื้อขาย
แบบนี้ก็ดีครับ คือมีการหาจังหวะในการเข้าซื้อหรือขาย ทำให้เรารู้ถึงว่าระดับนี้อยู่ในจุดไหนขึ้นมามากหรือยัง ลงมาลึกแค่ไหน มีสัญญาณซื้อหรือสัญญาณขายหรือยัง
กราฟมันจะบอกเราครับว่ามีแนวโน้มอย่างไร ส่วนกราฟจะแม่นหรือหลอก ก็ต้องว่ากันอีกที
การลงทุนแบบใช้กราฟนี้ เราต้องมีวินัยเป็นอย่างยิ่งครับ เมื่อเกิดสัญญาณ ซื้อก็ต้อง “ซื้อ” และถ้าเกิดสัญญาณขายก็ต้อง “ขาย”
3. เล่นตามปัจจัยพื้นฐาน ก็อาจจะใช้ข้อมูลเบื้องต้นประกอบเช่น P/E P/BV เงินปันผล เป็นต้น หรืออาจจะถึงขึ้นเอางบการเงินมาดูเองก็มี ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้ของแต่ละคน
แต่แบบนี้ เราต้องอาศัยวิสัยทัศน์ของเรา และ ต้องมีข้อมูลวิเคราะห์ถึงแนวโน้มในอนาคตด้วยนะครับ เพราะข้อมูลที่เราเห็น เป็นข้อมูลในอดีตที่เราผ่านไปแล้ว ไม่ได้การันตีว่าอนาคตจะดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิม หรืออาจจะต้องอาศัย ฝ่ายวิเคราะห์ของแต่ละโบรกฯนั่นแหละ ว่าแต่ละที่ มีมุมมองอย่างไร แนะนำให้ซื้อหรือขาย เขามีเหตุผลอย่างไร สมเหตุสมผลหรือไม่”
“คุณอยากเป็นนักลงทุนแบบไหน ถ้าเป็นผมนะครับ ผมอยากเป็นนักลงทุนทั้ง 3 ประเภทเลย”
“โดยขอนำทั้ง 3 ประเภทมารวมกัน คือ หาข้อมูลทางปัจจัยพื้นฐานก่อนครับ เมื่อเลือกตัวที่เราจะลงทุนได้แล้ว ก็มาดูวอลุ่มประกอบ และใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค มาหาจังหวะในการซื้อหรือขาย แล้วเข้าเก็งกำไร”
“แต่ความรู้ด้านการลงทุนของแต่ละคน อาจจะไม่เท่ากัน ต้องค่อยๆ ศึกษากันครับ หรือถ้าได้ มาร์เก็ตติ้งดีๆ มีข้อมูลประกอบ การตัดสินใจลงทุน ทำการบ้านให้ลูกค้าก็จะดีมากครับ ช่วยได้เยอะมาก”
“และที่สำคัญครับ การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูง เพื่อไม่ให้ขาดทุนมากกว่ากำไร เราต้องรู้จักการคำว่า CUT LOSS หรือตัดขายขาดทุนเมื่อมองผิด แล้ว LET PROFIT RUN หรือปล่อยให้หุ้นมันขึ้นไปเรื่อยๆกำไรในพอร์ตของเราก็งอกเงยขึ้นงดงาม เมื่อเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น