2553-03-16

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ 15 มี.ค. 2553

ปิดจอหุ้น เลิกลุ้นม็อบกดดัน
ปั่นหนีควัน ไปเที่ยวพระตำหนักภูพิงค์ฯ
15 มีนาคม 2553


บรรยากาศยามเช้าวันนี้ อึมครึมไปหมด ไม่ว่าจะเป็นหมอกควันที่ปกคลุมอยู่ทั่วพื้นที่ ทำให้สภาพอากาศในแอ่งกระทะเชียงใหม่-ลำพูน เมืองเชียงใหม่เวลานี้ ไม่ต่างอะไรกับเมืองในหมอก ทว่ามิใช่หมอกจางๆ แต่เป็นควันไฟ ที่หาทางออกจากแอ่งแห่งนี้ไม่ได้ ลอยไปทางไหนก็ติดดอย (คนละอย่างกับติดหุ้นนะครับ) ส่วนสถานการณ์บ้านเมืองก็ไม่แพ้กัน จะออกหัวออกก้อย จะรุนแรงหรือไม่ ก็ไม่รู้ นั่งดูข่าวไปก็เริ่มเบื่อ ขี้เกียจลุ้นให้เกิดเรื่องดีๆ เผื่อหุ้นบ้านเราจะไปไปสู่ฝั่งฝันกะเค้ามั่ง

10 โมงเช้า เปิดหุ้นดู ยิ่งเครียดไปใหญ่ เปิดมาก็ลบไป 3 – 4 จุด แม้ว่าตัวที่ถืออยู่จะลงไปแค่ช่องสองช่องก็เถอะ เริ่มอยากขายช็อตฯ ไปก่อน แต่ยังพอหักห้ามใจได้ เอาน่า คงไม่เลวร้ายมากนะ ... พอผ่านไปสักครึ่งชั่วโมง SET เริ่มกลับเป็นเขียว นั่นแน่ เห็นไหม ... สถานการณ์บ้านเมืองเยี่ยงนี้ จาก 728 วิ่งไป 736 ได้ไงล่ะ ถ้านั่งดูหน้าจอแล้วจะทนได้ไหมเนี่ย จะขายหมูไปก่อนไหมวันนี้ ... คิดไปคิดมา ยังไม่ทันไร พวกทุบกลับมาให้เห็น SET แดงๆ อีกแล้ว ... ไงล่ะ ตะกี้นี้ทำไมไม่ขาย ... พอเผลอ 11 โมงกว่าๆ วิ่งมานัวเนียแถวๆ 734 อีก เป็นที่น่ารำคาญใจยิ่งนัก

ทนไม่ไหวแล้ว ตัดปัญหา ไหนๆ วันนี้ก็ว่าง หนีไปเที่ยวมั่งดีกว่า คว้าจักรยานคู่ใจ ปั่นออกไปเรื่อยๆ โอ้โห เมืองเชียงใหม่ ทัศนวิสัยแย่มากๆ เลยแวะพักดูสถานการณ์จากปั๊ม ปตท. ปั๊มน้ำมันแห่งเดียวของ มช. (แวะนั่งเจ็บใจเล็กน้อย PTT ของเรา ลงต่ำกว่า 230 เมื่อไร เราจะกลับมาเป็นเจ้าของอีกครั้ง ก่อนออกมานั่งมอง 238 – 239 อยู่นะ วันนี้กลับมาปิดเท่าเดิม 240 ฝากไว้ก่อน) นั่งอยู่หน้าปั๊มฯ มองขึ้นไปทางดอยสุเทพ มองไม่เห็นดอยสุเทพแม้แต่น้อย ... ก็เลยมานั่งคิดว่า สภาพแรงกดอากาศ กดหมอกควันลงมาลอยต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นนี้ เราก็ควรจะหนีขึ้นไปอยู่ให้สูงกว่าที่แรงกดอากาศมันกดหมอกควันลงมา

ยิ่งหากปั่นเล่นในเมือง โอกาสที่จะสูดควันเข้าไปก็จะมีมากกว่า จึงไม่รอช้า มุ่งตรงจากปั๊ม PTT ไปดอยสุเทพทันที กะเอาว่าจะไปหาอะไรทานก่อนขึ้นดอย แถวหน้าบ้านหลินปิง (สวนสัตว์เชียงใหม่) ดันไม่มีอะไรที่กินแล้วพอจะมีแรงขึ้นดอยสุเทพได้ขายเลย ก็เลยปั่นไปกราบนมัสการครูบาเจ้าศรีวิชัย บริเวณเชิงดอยสุเทพ ทางเข้าน้ำตกห้วยแก้ว แล้วก็มองหาร้าน เห็นเขียนป้ายเป็นร้านค้าชุมชน มีอาหารตามสั่ง วันนี้แวะไปชิมหน่อยก็แล้วกัน

ร้านค้าชุมชน มีเด็กหนุ่มวัยกระเตาะนั่งอยู่นายเดียว แต่งตัวเหมือนเด็กแว้นท์ (สะกดผิดขออภัย) ไว้ผมทรงเกาหลีมาเองเลย ก็เลยสอบถามไปว่ามีอาหารตามสั่งอะไรบ้าง เค้าบอกมีทุกอย่าง ก็เลยตามประสาร้านค้าที่ไม่เคยทาน สั่งอาหารสิ้นคิด ผัดกระเพราหมูหนึ่งจาน ปรากฏว่าน้องลงมือเองเลย พอยกมาเสิร์ฟ จัดจานสวยมาก มีน้ำซุปด้วย รสชาติอร่อยกว่าผัดกระเพราที่อื่นๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบทานผัก เพราะมีแครอท ถั่ว ฯลฯ เหมือนผัดผักรวมน้ำมันหอยมากกว่า เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะเวลานี้เกือบเที่ยงแล้ว หิวมาก ขอกินก่อน

พอกำลังจะเริ่มทาน เห็นเค้าเอาแก้วน้ำแข็งแห้งมาให้ แล้วถามว่าจะเอาน้ำอะไร (ตอนนี้เริ่มมั่นใจแล้วว่าคงไม่ใช่เกาหลี เพราะสำเนียงแบบ มันมะค่อยซัดอ่ะ) ดูมิเตอร์ที่รถก็ออกบ้านมาได้แค่ 5 กิโลเมตรกว่าๆ น้ำเปล่าที่ใส่จักรยานมา 2 ขวดก็ยังเต็ม จะสั่งน้ำเปล่าต้องเปิดขวดใหม่ทานไม่หมดแน่เลย เสียดาย ก็เลยอุดหนุนบริษัทของเรา SSC เป๊ปซี่หนึ่งขวด

นับเป็นครั้งแรกในรอบปีเลยนะ ที่อุดหนุน SSC หลังจากถือหุ้นมานับเดือน เห็นอยู่แถวๆ 15 – 16 มานาน เลยซื้อเก็บไว้ ใครจะว่าซื้อแพงก็ไม่เป็นไร พอใจจะเล่นราคานี้ กะเล่นซื้อ 15 ขาย 16 สักสองสามรอบก่อนปันผลก็โอเคแล้ว วันสุดท้ายก่อนประกาศ XD 2 บาท เห็นราคา 15.40 ยังคันไม้คันมืออยากขายขอค่ากับข้าวไปก่อน กลัวจะปันผลน้อยกว่าที่คิด ดีที่ติดคุยงานกับลูกค้า เลยวิ่งมาขายไม่ทัน ตลาดปิดไปก่อน อีกวันโผล่มาประกาศ XD 2 บาท ช่วยดันราคาเปิดไป 16.90 งานนี้เลยเก็บยาว รอขายก่อนวันขึ้น XD ก็แล้วกัน (วันนี้ปิด 17.20 ค่อยยังชั่ว)
พออิ่มหมีพีมัน ก็เริ่มปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ วันนี้วันจันทร์ นักท่องเที่ยวไม่มาก หมอกควันก็ยังหนาอยู่ คิดว่าเวลาเกือบเที่ยง คงไม่มีเพื่อนร่วมทาง ที่ไหนได้ ฝรั่งหน้ามนคนขยัน ปั่นตามขึ้นมา แถมแซงไปอีกต่างหาก จนไปพบกันอีกที ที่ จุดชมวิว เลยทราบว่าเพิ่งปั่นขึ้นมาครั้งแรก เค้าคิดว่าควันขาวๆ นี่คือหมอก (เชื่อว่าปั่นมาครั้งแรก จักรยานราคาหลายหมื่น จอดทิ้งไว้ข้างทางแล้วเดินไปชมวิว ระวังจะได้เดินกลับ) เราบอกว่าควันเค้ายังไม่เชื่อ แต่ดีใจอยู่นิดหนึ่ง เค้าถามว่าผมมาจากประเทศอะไร (คงประเทศเดียวกับทรงผมน้องที่ทำผัดกระเพราให้ทาน หน้าอนุสาวรีย์พระครูบาศรีวิชัยละมั้ง)

อุตส่าห์หนีหน้าจอหุ้นออกมาไกล 10 กว่ากิโลเมตร ใกล้จะถึงหอดูดาวสิรินธร มช. ดันไปเหลือบมองเห็นอีก EGCO คงให้การสนับสนุนในการทำป้ายบอกทางให้หอดูดาวฯ แต่ตัวนี้ไม่เคยเล่น คิดว่าราคา ณ ปัจจุบันไล่ๆ กับน้าแอ๊ด รอซื้อ ADVANC (XD 12 เมษายน 8.30 บาท) หลังสงกรานต์ น่าจะได้ราคาต่ำกว่านี้ (ผมเดาเอามั่วๆ นะ แฟน EGCO อย่าเพิ่งโกรธ) ถ้าโรงไฟฟ้า เคยเล่นแต่ GLOW พอวิ่งไป 35.50 ก็เริ่มขาย จนถึง 36.50 ขายหมูหมดเกลี้ยงเล้า ถ้าจะหนีไป 40 ก็จะไม่รักแล้ว หาหมูใหม่มาใส่เล้าก็ได้ เราไม่ยึดติดหุ้น ขอลงทุนแล้วได้กำไรก็พอแล้ว

ยิ่งสูงยิ่งหนาว หมอกควันเริ่มบางตาลงเรื่อยๆ จนถึงบริเวณพระธาตุดอยสุเทพ เริ่มเห็นแสงแดด ส่องลงมาบ้าง (เริ่มเห็นเงาหัวตัวเอง) ระยะทางจากบ้านมา 16 กิโลเมตรกว่าๆ หิวอีกแล้ว แวะกินก๋วยเตี๋ยวอีกชาม จากร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เลยโค้งขุนกันชนะนนท์ โค้งสุดท้ายก่อนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ แต่เจ้านี้ไม่ค่อยอร่อย ราคาเท่าผัดกระเพราของเด็กหนุ่มเกาหลีเลย (ถูกกว่า GLOW ราคาปิดวันนี้ 2 บาท) ขอไม่บันทึกภาพก็แล้วกัน ว่าแล้วก็เดินทางต่อ เพราะจุดหมายของเราในวันนี้สูงกว่านั้น (แม้ว่าเราจะไปไม่ถึงก็ตาม)

ขณะที่ปั่นอยู่ ในใจนึกถึงโฆษณา AIS ที่ไปถ่ายทำที่ขุนช่างเคี่ยน บอกว่าไปไหนไปด้วย ดูเหมือนจะไม่ไกล นับจากพระธาตุดอยสุเทพไปอีก 4 กิโลเมตร ถึงพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จากพระตำหนักฯ อีก 4 กิโลเมตรถึงบ้านม้งดอยปุย ส่วนบ้านม้งขุนช่างเคี่ยน ออกทางแยกก่อนเข้าบ้านม้งดอยปุย เลี้ยวขวาไปลานกางเต็นท์ รวมระยะทางจากพระตำหนักฯ ประมาณ 7 กิโลเมตร เราตั้งเป้าหมายต่อไปที่พระตำหนักภูพิงค์ฯ ก่อนก็แล้วกันนะ เพราะเราเริ่มเหนื่อยแล้ว

หลังจากที่ปั่นเลยพระธาตุดอยสุเทพไปแล้ว เริ่มรู้สึกว่าทางชันขึ้นเรื่อยๆ ถนนเริ่มเงียบ ผมเริ่มเปลี่ยนจากการปั่นชมวิว เป็นการจูงรถชมวิวในจุดที่ชันมากๆ แต่สังเกตได้ว่า อากาศสดชื่นเย็นสบายมาก ไม่มีหมอกควัน และแสงแดดส่องลอดใบไม้มาเป็นระยะ จนมาถึงพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ก็เป็นที่น่าเสียดาย สองสาเหตุคือ ชุดปั่นจักรยานของผม ไม่สุภาพมากพอจะเข้าไปในบริเวณพระตำหนักฯ ได้ กอปรกับเหตุผลหลักๆ คือ ขณะนี้เป็นเวลา 15.15 น. อีก 15 นาทีก็จะปิดแล้ว นักท่องเที่ยวทยอยกลับกันใหญ่ เราออกเดินทางช้าไป (หรือผมจูงจักรยานชมวิวมากเกินไปก็ไม่รู้)

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เปิดจำหน่ายบัตรให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 08.30 - 11.30 น. และ 13.00 - 15.30 น. ของทุกวัน ยกเว้นช่วงเวลาที่พระองค์ท่านแปรพระราชฐานมาประทับ ช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ของทุกปี การแต่งกายของนักท่องเที่ยว ค่อนข้างจะเคร่งครัด หากแต่งตัวไม่เหมาะสม กางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม เสื้อแขนกุด หรือประโปรงสั้น สายเดี่ยว จะมีผ้าคลุมให้บริการ ส่วนการเข้าชมบริเวณพระตำหนัก ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามเข้าแปลงดอกไม้ ห้ามเด็ดดอกไม้ และห้ามนำสัตว์เลี้ยงทุกชนิดเข้าไปโดยเด็ดขาด
ดูจากเวลาแล้ว อย่าว่าแต่ขุนช่างเคี่ยนเลย บ้านม้งดอยปุยก็คงจะไม่ถึงแล้ว เหลือเวลาอีกชั่วโมงเดียวตลาดจะปิด ไหนๆ ก็ไหนๆ ทำหน้ามั่นใจ ปั่นไปเที่ยวร้านขายของที่ระลึก ลงไปผาดำ เป็นหน้าผาอยู่บริเวณหน้าพระราชตำหนักฯ แต่ลงไปได้ไม่ลึก เพราะทางชันมาก ผนวกกับใบสนเส้นยาวๆ นับแสนนับล้าน สานคลุมดินอยู่ ลื่นมากๆ ยิ่งเห็นป้าย อันตราย หน้าผาสูงชัน ก็เลยฝากรถค้ำไว้กับต้นไม้ แล้วลงไปถ่ายรูปนิดหน่อย ถ้าปั่นลงไปแล้วเบรกไม่อยู่ ร่วงลงหน้าผา รับรอง ตลท. ไม่มีเซอร์กิตเบรกเกอร์ให้แน่นอน
ส่วนของฝาก ของที่ระลึก ก็เป็นสินค้าประมาณไนท์บาร์ซาร์ เห็นว่าผู้คนแถบนี้ ตกเย็นก็จะนั่งรถลงไปขายในเมือง สนนราคาก็คงไม่ถูกแพงกว่าข้างล่างมากนัก แต่อาจได้อารมณ์และบรรยากาศมากกว่า นอกจากของฝากจำพวกเสื้อผ้า หมวก กระเป๋า ของแต่งบ้าน เครื่องประดับ ก็จะเป็นจำพวกอาหารพื้นเมืองที่ผ่านการถนอมอาหารแล้ว เพื่อใช้เป็นของฝากจากเชียงใหม่

แล้วก็ยอมรับความพ่ายแพ้ หันหลังกลับเส้นทางเดิม ขากลับว่าจะแวะซื้อไส้กรอกอีสาน แถวๆ พระธาตุดอยสุเทพฯ (อร่อยนะ) แต่พอดูเวลาแล้วรีบกลับดีกว่า กลับมาถึงบ้านยังทันเห็นราคา ATC อีกแน่ะ แต่ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ขาย เห็นพอร์ทเขียวนิดแดงหน่อย แถม SET บวกอีก ก็พอใจแล้ว

สรุปการเดินทาง
ใช้เวลาทั้งหมด 4 ชั่วโมง 13 นาที (ขึ้นประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ลงครึ่งชั่วโมง ปั่นกลับบ้าน 13 นาที ทันดูราคา ATC พอดี)
ระยะทางรวม 43.01 กิโลเมตร
ความเร็วเฉลี่ย 10.10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ช่วงหลังจูงบ่อยไปหน่อย วิวมันสวยน่ะ)
ความเร็วสูงสุด 49 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (คงไม่ใช่ขาขึ้นแน่นอน)
ใช้พลังงานไปทั้งหมด 698.10 Cal

ฝากไว้ก่อนนะดอยปุย - ขุนช่างเคี่ยน ต้องมีสักวัน

ไม่มีความคิดเห็น: