2554-03-02

น้ำตกตาดหมอก ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

วัฒนธรรมอย่างหนึ่งของนักเดินทาง ที่มักปฏิบัติกันอยู่เป็นนิจ เห็นกันอยู่เป็นประจำ นั่นคือการบันทึกภาพกับป้ายสถานที่ หรือป้ายบอกทาง เพราะยินดีที่จะไม่ต้องอธิบาย เพียงอ่านข้อความในป้าย ก็เข้าใจได้แล้วว่า ไปเยือนที่ไหนแห่งใดมา ... ไม่ใช่เฉพาะนักท่องเที่ยวไทยเท่านั้น พื้นที่แห้งแล้งกันดารแถวอเมริกา ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ลุงแซมหัวใส ยังตีฆ้องร้องป่าว บอกว่าวัตถุบินลึกลับมาเยือนเมืองนี้บ่อย เขียนป้ายเตือนให้ระวังจะโดนมนุษย์ต่างดาวจับไป ใครผ่านไปมาต้องแวะถ่ายภาพเป็นหลักฐาน กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวอันแสนโด่งดัง ... ผ่านไปมาต้องถ่ายรูปกับป้ายเมืองนี้ มิฉะนั้นถือว่ามาไม่ถึง

บ่ายสามโมงกว่าๆ เสาร์ที่ผ่านมา MERIDA คู่ชีพ ค่อยๆ ตะกายออกจากย่านหลัง มช. โดยไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า เพียงเห็นว่าอากาศดี แดดไม่แรง ลมพัดเย็นสบาย คว้าหมวกกันน็อคครอบหัวได้ก็ปั่นเล่นไปเรื่อยๆ ถนนสายสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี เลยห้วยตึงเฒ่าไปทะลุถนนโชตนา หรือสายเชียงใหม่-ฝาง ตัดสินใจเลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอแม่ริม ประมาณ 5 กม. ก็เห็นทางแยกเลียบคลองชลประทานเส้นเก่า ซึ่งเป็นทางลัดผ่านไปยังวัดป่าดาราภิรมย์ พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ยังพอมีเวลา ปั่นต่อไปเรื่อยๆ

ถึงวัดป่าดาราภิรมย์ เครื่องกำลังฟิต ตัดสินใจเลียบคลองไปเรื่อย จนทะลุถนนสายแม่ริม-สะเมิง เลี้ยวซ้ายขึ้นดอยไปทางอำเภอสะเมิง ผ่านแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ทั้ง ฟาร์มงูแม่สา สวนกล้วยไม้ ศูนย์ฝึกลิง สนามยิงปืน สนามรถเอทีวี ฯลฯ จนไปพักเหนื่อยแถวสามแยกที่จะเลี้ยวขวาไปตำบลแม่แรม เห็นป้ายบอกทาง มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย รวมทั้ง น้ำตกตาดหมอก ป้ายบอกระยะทางเพียง 9 กิโลเมตร นึกขึ้นได้ว่าพก iPhone 4G มาด้วย แดดบ่าย 4 โมงเย็นเป็นแสงสีทองสวยจับใจ แวะไปลองกล้องถ่ายภาพน้ำตกตาดหมอกดูท่าจะดี จากมิเตอร์รถ ก็ออกจากบ้านมาได้แค่ 25 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า บวกไปอีกสัก 10 ก็ 35 กิโลเมตร คงใช้เวลาไม่มาก ทุ่มสองทุ่มก็น่าจะกลับถึงบ้าน

5 กิโลเมตรแรกจากสามแยก ปั่นเรื่อยๆ สบายๆ สัมผัสสายลม แสงแดด ลัดเลาะเส้นทางผ่านหมู่บ้านน้อยๆ จนย่างเข้าสู่กิโลเมตรที่ 6 นักปั่นน่องนรก ก็พบกับทางลาดชันที่ไม่ทันตั้งตัว ถ้าเป็นกราฟหุ้นก็คงเป็นแท่งเทียนเขียวยาว หากจะหันหลังกลับไปก็จะกลายเป็นไส้เทียนแดงเปล่าๆ ว่าแล้วก็ปั่นไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก แต่กิโลเมตรหลังๆ พักบ่อยจัง เข็นบ้างก็ได้เดี๋ยวจะหาว่าบ้าพลัง แต่ทางชันจังเลย ปั่นพลางเข็นพลาง จนย่างเข้าสู่กิโลเมตรสุดท้าย เริ่มมีเสียงน้ำตกแว่วมาสร้างขวัญและกำลังใจ แม้เหงื่อจะโทรมกาย แต่หยุดปั่นไม่ได้ ทั้งคนทั้งจักรยาน ฝันไว้ว่าจะพุ่งทะยานลงน้ำตกใสเย็นให้ชื่นใจทันทีที่ไปถึง

ทันทีที่ถึงหน้าป้ายอุทยานฯ ไม่รอช้า หักซ้ายพุ่งเข้าหาป้าย ถ่ายรูปกับป้ายก่อนเลย เพราะพระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน เดี๋ยวแสงจะไม่พอ อ่านป้ายไม่เห็น ผู้คนจะไม่ทราบว่ามาถึงน้ำตกตาดหมอกแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่รอช้า พุ่งตรงเข้าไปหาทางที่จะไปน้ำตกทันที เจ้าหน้าที่ในป้อมยามจุดตรวจ บอกให้ทราบว่าต้องเดินลงไปอีกราว 250 กิโลเมตร ถึงจะได้สัมผัสสายน้ำใสเย็นของน้ำตกตาดหมอก ประโยคแรกของเจ้าหน้าที่ ไม่ทำให้หวั่นไหวพรั่นพรึง แม้จะต้องดาวน์ฮิลล์ลงไป แล้วปั่นขึ้นมาก็ตาม แต่ประโยคสนทนาต่อมานี่สิ คิดหนัก

“ตอนนี้อุทยานฯ ปิดแล้วครับ เอาไว้ค่อยมาใหม่นะครับ” หนึ่งในสองเจ้าหน้าที่เดินมาบอก
“ผมปั่นจักรยานมาน่ะครับ เลยช้าหน่อย ขอเข้าไปดูนิดนึงนะครับ” กว่าจะมาถึงเหนื่อยนะ ต้องดื้อหน่อย
“ปิดตั้งแต่ 5 โมงแล้วครับ ตอนนี้ 6 โมงแล้วครับ” เจ้าหน้าที่ยืนกราน
“ขอเข้าไปนิดนึงครับ ปั่นมาจากในเมือง 35 กิโลฯ นะเนี่ย ขอเอาเท้าจุ่มน้ำหน่อยก็ยังดี” ดูสิ “ยืนยังเซ” เลยเนี่ย
“ปิดแล้วครับ” ว่าแล้วเจ้าหน้าที่ทั้งสองก็ไม่รอฟังประโยคต่อไป เดินหนีขึ้นไปบนที่ทำการอุทยานฯ ทันที

จบข่าว ... มาถ่ายรูปกับป้าย แล้วก็กลับบ้าน ... พระอาทิตย์ตกเร็วจัง ลงดอยมาไม่ถึงสามแยกเดิมที่ออกมา ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ถนนก็มืดมิด ตัดสินใจมุ่งตรงสู่ทางเส้นหลัก ถนนโชตนา แล้วตรงเข้าเมือง เพราะกว่าจะถึงบ้านเกือบสี่ทุ่ม ... ใครถามไปไหนมา บอกว่า ไปถ่ายรูปกับป้าย ... ป้ายบอกสถานที่ กับป้าย บอกเวลาปิดบริการ ...

ระยะทางทั้งหมดทริปนี้ 67 กิโลเมตร ความเร็วเฉลี่ย 15.5 กม. ต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุด 47.5 กม. ต่อชั่วโมง ใช้พลังงานไปทั้งหมด 807 กิโลแคลอลี่ .... เพื่อไปถ่ายรูปกับป้าย เหมือนกับที่นักเดินทางหลายท่าน ที่ถวิลหาการถ่ายภาพกับป้ายสถานที่ที่เคยมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือน ด้วยหวังว่าจะไปแล้วบังเอิญเจอมนุษย์ต่างดาว แม้ว่าเกิดมาจะไม่เคยเห็นมนุษย์ต่างดาวเลยก็ตาม ... ไม่ต่างกับน้ำตกตาดหมอก ที่แม้ไม่ได้สัมผัสกับน้ำตกสักหยด แต่ก็ยินดีที่ได้ไปถ่ายภาพกับป้ายอุทยานฯ ...

ไม่มีความคิดเห็น: