2 เมษายน 2553 เวลา 22.00 น.

เรากลับมาถึงบริเวณใกล้ที่พัก อากาศหนาวมาก ต้องกอดอกเดินคุยกันเสียงสั่นๆ อ้าปากคุยก็เริ่มมีไอหมอกพวยพุ่งออกมาจากปาก ทีมงานลงความเห็นกันว่า ควรหาอะไรรองท้องก่อนนอนอีกสักมื้อ จึงพากันเดินเลยจากที่พักไปยังตลาดแห่งหนึ่ง ไม่ไกลมากประมาณ 1 กม. ซึ่งภาพถ่ายจากโรงแรมที่พักในเวลากลางวัน ชี้ให้เห็นว่า น่าจะเป็นเขตที่ชนพื้นถิ่นอาศัยอยู่กันมากกว่าห้างสรรพสินค้า ดังเรื่องเล่าบรรดานักเดินทางทั้งหลายที่ว่า หากเราอยากทราบว่า ผู้คนที่นี่ กินอยู่กันอย่างไร ให้ไปดูที่ตลาดเช้า ตลาดสด หรือตลาดโต้รุ่ง มิใช่ห้างสรรพสินค้า
แล้วเราก็ไม่ผิดหวัง ตลาดแห่งนี้มีอาหารน่ากินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มเครื่อง ที่เดินไปชี้ได้ว่าจะใส่อะไรบ้าง ยกเสริพทีละหม้อ แล้วมีจานแบ่งให้ พวกทอดก็จะมีตือคาโค ขนมหัวผักกาด ฯลฯ แต่ทีมงานเราตัดสินใจหาร้านที่มีที่นั่งว่าง ซึ่งหาค่อนข้างยากเพราะคนเยอะมาก จนมาเจอร้านปิ้งย่างแห่งหนึ่ง เราจึงยึดเป็นที่มั่น หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันเดินหาของกินอร่อยๆ มาทดลองชิมเพื่อความหลากหลาย มื้อนี้กินกันจนอิ่มหมีพีมัน เดินกันไปหาซื้อของอร่อยทั่วตลาด ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม หมดไปเพียง 77 หยวนเท่านั้น
หนังท้องตึง หนังตาหย่อน เราเดินกอดอกตัวสั่นกลับที่พัก จบการเดินทางในวันนี้ โดยมีสิ่งหนึ่งที่สังเกตพบคือ อาหารจีนที่ค่อนข้างจะมีไขมันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นประเภทปิ้งย่าง หรือแม้แต่ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ที่ขายย่านถนนคนเดินตงเหมิน หลายๆ ร้าน ไม่ว่าข้างทางหรือในห้างใหญ่ หากไม่ใช่กล่องโฟมหรือกล่องกระดาษ มักใช้ถุงพลาสติกคลุมถ้วยจานเอาไว้ หลังจากลูกค้าทานเสร็จก็ถอดถุงพลาสติกออก ทิ้งไปได้เลย เอาถุงใหม่ใส่ รอเสริพให้ลูกค้าคนต่อไป ไม่ต้องเปลืองน้ำ หรือน้ำยาล้างจาน ซึ่งคงไม่ดีต่อสุขภาพ หรือภาวะโลกร้อนสักเท่าไร แต่ทุกอย่างที่นี่ ยังคงดำเนินต่อไป
2 เมษายน 10.00 – 02.00 น. รวม 16 ชั่วโมง ตัดเวลาทานข้าว นั่งรถไฟฟ้า นั่งตลาดโต้รุ่ง 4 ชั่วโมง รวม 12 ชั่วโมง ...
... โปรดติดตามตอนต่อไป ...
(ตอนที่ 4) (ตอนที่ 5) (ตอนที่ 6) (ตอนที่ 8) (ตอนที่ 9) (ตอนที่ 10)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น